ลูกควรนอน แค่ไหนจึงพอ?
ตั้งแต่เริ่มมีลูกเพิ่งเกิด และต้องดูแล เลี้ยงลูกเองที่บ้าน คุณพ่อ คุณแม่ หลายคนจะมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่า ลูกควรนอน แค่ไหนจึงพอ? เนื่องจากบางครั้งดูเหมือนว่า ลูกจะตื่นบ่อยมาก จนคุณแม่จะลืมไปเลยว่า การได้นอนเต็มอิ่มของคุณแม่นั้นเป็นอย่างไร และการที่ลูกไม่ยอมนอน หรือตื่นบ่อยนั้น จะเป็นการป่วนกันไปทั้งบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ จึงอยากรู้ว่า เวลาลูกตื่นมาร้องไห้กลางดึกนั้น ควรจะตอบสนองต่อเขาอย่างไร และจะมีวิธีที่จะฝึกให้ลูกนอนหลับได้ดีในตอนกลางคืนได้อย่างไร?
นอนนาน แค่ไหนจึงพอ?
เป็นคำถามที่ คุณพ่อคุณแม่ มักจะถามคุณหมอ เมื่อเวลาพาลูกมาพบแพทย์ และ บางคนจะอ่านหนังสือ ค้นคว้ามาอย่างดีว่า ลูกจะต้องนอนนาน แค่นั้นแค่นี้ชั่วโมงต่อวันจึงจะพอ และคิดว่า ถ้านอนน้อยกว่านี้ จะทำให้ลูกไม่โต เนื่องจากฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะไม่หลั่งออกมา ฯลฯ ทำให้หลายคนเกิดความเครียด และพยายามจับลูกเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ซึ่งอาจจะทำได้ อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาลูก ถ้าไม่ง่วงนอนจริง ก็จะตื่นขึ้นมาเล่น ในตอนดึก หรือกวนไปตลอดคืน จึงไม่อยากให้กังวล กับจำนวนชั่วโมงที่ลูกจะต้องนอน เพราะการนอนนั้นขึ้นกับแต่ละคน และอาจมีความแตกต่างกันได้มาก จึงไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่า เด็กอายุเท่าไร ควรจะนอนกี่ชั่วโมง จึงจะพอ แต่ที่นำมากล่าวถึงในที่นี้ จะเป็นเกณฑ์เฉลี่ยของเด็ก ในแต่ละช่วงอายุ และมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการสื่อถึงปัญหาการนอน ในเด็กให้คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น
ในทารกอายุ 6 เดือนแรก
ในช่วงแรกเกิดนี้ เด็กจะนอนค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ย 16-20 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งจะแบ่งเป็นช่วงๆ บางช่วงนาน 4-5 ช.ม.ซึ่งจะพอดีกับมื้อนม แต่ในบางครั้ง ก็อาจจะยาวกว่า 5 ช.ม. หรือสั้นเพียง 2-3 ช.ม. เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่า เป็นเกณฑ์ปกติ และเด็กจะตื่น หรือหลับไปตามความต้องการ ภายในร่างกายของเขา เช่นเมื่ออิ่มก็จะหลับได้นาน เมื่อหิวหรือมีอึ,ฉี่เปียกก็จะตื่นมาร้อง ให้คุณพ่อคุณแม่ เข้ามาดูแลป้อนนม หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขา ซึ่งถึงแม้การนอนของลูก จะมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันบ้าง ในแต่ละวัน แต่ถ้าลูกแข็งแรง และเจริญเติบโตดี ก็ไม่มีสิ่งอันใด ที่จะต้องเป็นกังวล และไม่จำเป็นต้องปลุกลูก ขึ้นมาจากหลับ เพียงเพื่อให้ทานนม เพราะถึงเวลาทานนมแล้ว เมื่อลูกอายุมากขึ้น การนอนก็จะเริ่มเข้าที่มากขึ้น โดยจะเริ่มมีการนอนนานขึ้น ในช่วงกลางคืน และเริ่มจะตื่นมาเล่น นานขึ้นในช่วงเวลากลางวัน
ตอนอายุประมาณ 3 เดือน เด็กจะนอนโดยเฉลี่ยประมาณ 5 ช.ม. ในช่วงกลางวันและอาจได้ถึง 10 ช.ม.ในช่วงกลางคืน โดยการตื่นขึ้นในตอนดึกเป็นช่วงๆ ประมาณ 1-2 ครั้ง โดยทั่วไป เด็กประมาณ 80-90 % ในอายุขนาดนี้ จะนอนได้เกือบตลอดคืน โดยมีช่วงนอนยาวได้ ถึง 6-8 ช.ม.ในคืนหนึ่งๆ ที่สำคัญคือ ในตอนที่ลูกหลับอยู่ คุณพ่อคุณแม่ ก็อาจจะได้ยินเสียงลูก เหมือนร้องหรือทำเสียงอื้ดอ้าดในคอเหมือนกับตอนที่ตื่นในบางช่วงของการนอนของลูก ซึ่งเป็นสิ่งปกติและที่จริงแล้วลูกก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา เพียงแต่เป็นช่วงที่นอนหลับไม่ลึก ทำให้มีการขยับตัว,ทำเสียง ฯลฯ และแม้ว่าลูกจะตื่นขึ้นมาจริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่และมักจะหลับต่อได้เองในเวลาไม่นาน (ไม่กี่นาที) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะสามารถปล่อย ให้ลูกลองนอนต่อเองได้โดยที่ไม่ต้องรีบอุ้มขึ้นมา ป้อนนมหรือปลุกให้ตื่นขึ้นจริงๆ
ยกเว้นแต่ว่าเด็กตื่นขึ้นจริงๆและเริ่มร้องติดต่อกัน (คุณจะรู้ได้จากลักษณะการร้องของเขา) ซึ่งอาจจะจากการ ที่มีอึหรือฉี่เปียก, หิวนม หรือไม่สบาย ซึ่งคุณควรจะตอบสนอง ต่อความต้องการเหล่านี้อย่างรวบรัดและปล่อยให้ลูกกลับเข้านอนได้โดยเร็ว ไม่ควรจะพยายามพูดคุยเล่นกับลูกหรือเปิดไฟสว่างมาก ควรฝึกให้ลูกเรียนรู้เรื่อง เวลากลางวันกลางคืน โดยที่ให้ลูกได้อยู่ในห้อง ที่มีแสงสว่างและมีเสียงคึกคัก แบบเวลากลางวัน แต่พอถึงเวลากลางคืน เมื่อถึงเวลานอน ให้ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบสงบ แสงไฟสลัว และมีกิจกรรมต่างๆน้อยที่สุด (ไม่ใช่เปิดทีวีดัง มีเสียงคุยกัน หรือเด็กคนอื่นๆเล่นกันสนุก ทำให้ลูกอยากขึ้นมาเล่นด้วย) ซึ่งการเอาลูกเข้านอนนี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอตามเวลาและมีรูปแบบ ที่ค่อนข้างเหมือนเดิม ไปเรื่อยๆ จนเด็กเองเริ่มชินและจะสามารถเข้านอนได้เองโดยง่าย เมื่อลูกเริ่มง่วง
ช่วงอายุ 6-12 เดือน
เด็กส่วนใหญ่จะนอนกลางวันประมาณ 3 ช.ม. และมักจะนอนกลางคืนได้นาน ถึง 11 ช.ม. ซึ่งถ้าลูกตื่นขึ้นมาบางครั้งในตอนกลางคืน คุณพ่อคุณแม่อาจจะคอยให้เขาลองกลับนอนต่อเองได้ โดยไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาอุ้มเขา และพยายามให้การตื่นขึ้นมากวนของเขานั้นสั้นลง โดยไม่คอยอุ้มหรือเล่นกับเขา
ยกเว้นแต่ในกรณีที่ลูกมีอาการเจ็บป่วย ซึ่งจะต้องการความเอาใจใส่จากคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น เด็กบางคนอาจเริ่มมีปัญหากลัวการอยู่คนเดียว แ ละต้องการให้มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย ที่เรียกว่า separation anxiety ซึ่งเด็กบางคนก็จะเริ่มหันไปติด ผ้าห่ม (security blanket),ตุ๊กตา หรือดูดนิ้วแทน เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกสบายใจเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนแล้วไม่พบคุณแม่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งการติดสิ่งของเหล่านี้เป็นขั้นตอนพัฒนาการที่ปกติ และจะหายไปเองเมื่อลูกโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องรักษากิจวัตรประจำวัน (ประจำคืน) ที่ทำอยู่ต่อไป แม้ว่าบางครั้งเด็กอาจจะดูเหมือนไม่ยอมเข้านอนขึ้นมา เพราะความสงบเย็น และความสม่ำเสมอของคุณพ่อคุณแม่ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงของการนอนของเขากลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในเวลาไม่นาน
ช่วงอายุ 1-3 ปี
ช่วงนี้เด็กจะต้องการเวลานอนประมาณ 10-13 ช.ม.บางคนจะกลัวการอยู่คนเดียว (separation anxiety) หรืออยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้อุ้มหรือเล่นด้วย จึงทำให้เด็กอาจจะพยายามฝืนไม่ยอมเข้านอนง่ายๆ แม้ว่าตนเองจะง่วงมากแล้วก็ตาม (บางบ้านที่คุณพ่อคุณแม่ต้องกลับบ้านดึก จะพบว่าลูกจะไม่ยอมนอน จะคอยจนกว่าจะเห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ แม้ว่าพี่เลี้ยงหรือคุณยายจะพยายามเอาเขาเข้านอนแล้วก็ตาม) ให้ลองสังเกตช่วงเวลาที่ดูว่าลูกเริ่มง่วง และทำท่าจะนอนได้ง่าย และพยายามจัดกิจกรรมและการเตรียมตัวก่อนเข้านอนให้คงที่ในช่วงเวลานั้นๆ จนเด็กเกิดความเคยชิน ซึ่งในเด็กวัยนี้จะคุ้นกับการทำอะไรที่เหมือนๆเดิมทุกวัน อาจเป็นเพียงเวลา 15-30 นาทีก่อนนอนที่จะมีการกล่อมด้วยเพลงเย็นๆ, เล่านิทาน หรือกอด,พูดคุยกับลูกเบาๆในเรื่องที่สบายๆ ทำให้เขาสามารถผ่อนคลายและเข้านอนได้โดยง่าย อย่าให้ลูกชวนเล่น หรือชวนลูกเล่นนานจนเกินเวลาที่เขาจะง่วง และกลายเป็นตั้งตาคอยให้คนมาเล่นด้วยก่อนนอน
คุณอาจให้ลูกได้มีโอกาสเลือกชุดที่จะใส่นอน จะเอาตุ๊กตาตัวไหนมานอนด้วย หรือเลือกเพลงหรือหนังสือนิทานที่จะอ่านให้ฟังบ้าง เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนเองได้มีส่วนร่วมตัดสินใจ จะทำให้เด็กให้ความร่วมมือในการเอาเขาเข้านอนได้ง่ายขึ้น แม้ว่าลูกจะสามารถเข้านอนได้ง่ายจนสม่ำเสมอแล้วก็ตาม แต่ในบางคืนก็อาจมีการ “ผิดคิว” ขึ้นบ้าง เช่น ฟันกำลังเริ่มขึ้นพ้นเหงือก, การที่ลูกป่วยไม่สบาย หรือเมื่อตอนกลางวันมีเรื่องตื่นเต้น น่าตกใจ ทำให้ลูกเกิดกลัวขึ้นมาเมื่อถึงเวลานอนเอง หรือแม้แต่ฝันในขณะที่หลับไปแล้ว (เด็กวัยนี้ก็เริ่มมีการฝันได้) บางรายจะมีการฝันร้าย ทำให้เด็กตื่นขึ้นมาอย่างตกใจและจะร้องกวนมาก เนื่องจากเด็กยังแยกไม่ได้ระหว่างความฝันกับสิ่งที่เป็นจริง ซึ่งคุณจะช่วยทำให้ลูกหายกลัวได้ โดยการกอดเขา ปลอบเขาและทำตัวสบายๆให้เขารู้สึกอบอุ่น มั่นใจว่ามีคุณอยู่ใกล้ ให้โอกาสลูกได้เล่า “ความฝัน” ที่เขาได้ประสบให้ฟังเพื่อผ่อนคลาย ก่อนที่จะให้เขาเข้านอนอีกในเวลาไม่นานนัก
ช่วงวัยเตรียมอนุบาล (3-5 ปี)
เด็กวัยนี้จะนอนประมาณ 10-12 ช.ม.ในเวลากลางคืน และส่วนใหญ่จะไม่ต้องการนอนในตอนกลางวัน แต่หลายๆโรงเรียนอนุบาลยังจัดให้มีชั่วโมงพักผ่อนในตอนบ่าย เพื่อให้เด็กได้อยู่กันอย่างเงียบๆ หรือนอนพักถ้าต้องการ ในตอนกลางคืนแม้ว่าส่วนใหญ่จะหลับได้ดีแล้ว แต่บางครั้งบางคืนอาจจะมีการฝัน ที่ทำให้เด็กตื่นขึ้นและไม่ยอมเข้านอนอีก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะเตรียมของเล่นที่ช่วยฆ่าเวลาและเตรียมให้เขาเข้านอนได้อีก เช่น หนังสือนิทาน เทปเพลง หรือวิดิทัศน์เรื่องที่เขาชอบ หรือไฟฉาย เพื่อให้เขาได้ใช้และเตรียมเขาเข้านอนใหม่ โดยไม่ต้องตื่นมาเล่นกัน หรือค้นหาของต่างๆเหล่านี้อย่างโกลาหล
ช่วงวัยเรียน (6 ปีขึ้นไป)
เด็กยังต้องการการนอนประมาณ 10-12 ช.ม. ลูกจะสามารถเข้านอนได้เองโดยง่าย แต่บางคนก็ยังอาจต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ ให้เวลากับเขาก่อนเข้านอน ซึ่งอาจเป็นการพูดคุยกันในเรื่องเบาๆเกี่ยวกับตัวเขา หรือความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งจะมีความหมายมากสำหรับลูก
ในช่วงนี้คุณอาจจะสอนลูกให้สวดมนต์ไหว้พระ หรือเตรียมจัดตารางเรียน(จัดกระเป๋าเรียน) และชุดนักเรียนให้พร้อม ก่อนเข้านอน เพื่อที่เวลาตื่นนอนตอนเช้าทุกอย่างจะได้ไม่ฉุกละหุกนัก และเป็นการฝึกระเบียบวินัยให้กับลูกด้วย ในเด็กที่โตกว่านี้ อาจจะต้องการเวลานอนที่น้อยลง แต่ก็ยังเป็นประมาณ 10 ช.ม.ต่อคืน
คุณพ่อคุณแม่ควรพยายามดูแลให้เด็กได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือดูแต่ทีวีจนดึกดื่น โดยไม่มีการตักเตือนหรือมีมาตรการที่จะให้อยู่ในกรอบของเวลา ในบางครั้งอาจมีรายการทีวีที่ดีน่าชม แต่ออกอากาศดึก ก็อาจใช้วิธีบอกเขาว่าคุณจะช่วยบันทึกไว้ในวิดิทัศน์ให้เด็กได้ดูในวันรุ่งขึ้น (หรือวันอื่น) ที่ไม่ใช่เวลาดึกๆ เกินเวลานอนตามปกติของเขา และควรต้องสอนลูกเรื่องการแบ่งเวลาให้เหมาะสม เช่น การดูทีวีได้ก็เมื่อทำการบ้านเสร็จ หรือเมื่อใกล้สอบจะต้องมีการทบทวนเนื้อหาวิชาก่อนสอบ ไม่ใช่แต่จะเล่นเกมส์จนนอนดึกเกินไป ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าคุณพ่อคุณแม่เริ่มฝึกลูกต้องแต่เล็ก และมีความมั่นคงสม่ำเสมอในการดูแลเขา ก็จะเป็นนิสัยดีที่จะติดตัวเขาไป และทำให้เด็กรู้จักความรับผิดชอบ, การแบ่งเวลา ฯลฯ ได้
ดังนั้นการนอนของลูกว่าควรจะนอนแค่ไหนถึงจะพอนั้น แม้ว่าอาจจะแตกต่างกันบ้างในแต่ละครอบครัว แต่ก็มีแนวทางที่คุณพ่อคุณแม่พอจะนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับความเป็นไปในครอบครัวของเรา และควรเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เล็กเพื่อให้ลูกได้มีการนอนพักผ่อนที่เพียงพอ และมีสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์